Photographer : | © Raghavji B Balar |
ชื่อสามัญ | ชื่อวิทยาศาสตร์ | ชื่อไทย | การรายงาน | สถานภาพตามฤดูกาล |
White-rumped Vulture | Gyps bengalensis | อีแร้งเทาหลังขาว | A | R (extirpated) |
อีแร้งเทาหลังขาว (White-rumped Vulture) เป็นนกล่าเหยื่อจำพวกอีแร้งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง พบกระจายพันธุ์ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สถานะการอนุรักษ์ในประเทศไทยอยู่ในระดับใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่ง (ลดลง)
อีแร้งเทาหลังขาวมีขนาดลำตัวยาวประมาณ 87-89 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 4.4 กิโลกรัม หัวและคอไม่มีขนปกคลุม ลำตัวด้านบนสีดำ ลำตัวด้านล่างสีน้ำตาลอ่อน บริเวณหลังตอนท้ายและโคนหางสีขาว ขาอ่อนมีขนสีขาวปกคลุม
อีแร้งเทาหลังขาวเป็นสัตว์กินซาก มักหากินตามซากสัตว์ขนาดใหญ่ เช่น วัว ควาย ม้า ช้าง เป็นต้น โดยใช้จะงอยปากและเล็บฉีกซากให้กว้างออกเพื่อกินเนื้อและกระดูก
อีแร้งเทาหลังขาวทำรังบนต้นไม้ใหญ่ วางไข่ครั้งละ 1-2 ฟอง ไข่ฟักเป็นตัวประมาณ 50-60 วัน ลูกนกจะอยู่กับพ่อแม่นานประมาณ 3 ปี จึงจะแยกตัวไปหากินเอง
ภัยคุกคามที่สำคัญต่ออีแร้งเทาหลังขาว ได้แก่ การล่าเพื่อเอาขนและกระดูก การสูญเสียถิ่นอาศัย และการปนเปื้อนของยาฆ่าแมลงในซากสัตว์
มาตรการอนุรักษ์อีแร้งเทาหลังขาว ได้แก่ การห้ามล่า การฟื้นฟูถิ่นอาศัย และการลดการปนเปื้อนของยาฆ่าแมลงในซากสัตว์
สาเหตุที่ทำให้อีแร้งเทาหลังขาวใกล้สูญพันธุ์
สาเหตุที่ทำให้อีแร้งเทาหลังขาวใกล้สูญพันธุ์ ได้แก่
- การล่าเพื่อเอาขนและกระดูก อีแร้งเทาหลังขาวมีขนและกระดูกที่มีสีสันสวยงาม จึงถูกล่าเพื่อเอามาใช้ประโยชน์ เช่น ทำเครื่องราง เครื่องประดับ เป็นต้น
- การสูญเสียถิ่นอาศัย อีแร้งเทาหลังขาวมักทำรังบนต้นไม้ใหญ่ แต่ในปัจจุบันต้นไม้ใหญ่ถูกทำลายลงเป็นจำนวนมาก ทำให้อีแร้งเทาหลังขาวไม่มีที่อยู่อาศัยที่เหมาะสม
- การปนเปื้อนของยาฆ่าแมลงในซากสัตว์ ยาฆ่าแมลงบางชนิดสามารถสะสมในร่างกายของสัตว์ได้ และสามารถปนเปื้อนสู่ซากสัตว์ได้ เมื่ออีแร้งเทาหลังขาวกินซากสัตว์ที่มียาฆ่าแมลงปนเปื้อนเข้าไป จะทำให้อีแร้งเทาหลังขาวป่วยและตายได้
การอนุรักษ์อีแร้งเทาหลังขาวเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากอีแร้งเทาหลังขาวเป็นสัตว์ที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ อีแร้งเทาหลังขาวช่วยกำจัดซากสัตว์ ซึ่งหากไม่มีอีแร้งเทาหลังขาว ซากสัตว์เหล่านั้นจะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและเป็นแหล่งแพร่ระบาดของโรคได้
1
2
3
4
5
6
A : นกที่มีรายงานพบตามธรรมชาติในระยะ 50 ปีที่ผ่านมา
B : นกที่ไม่มีรายงานพบในธรรมชาติเป็นเวลาอย่างน้อย 50 ปี
C : นกต่างถิ่นที่ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย และสามารถปรับตัวให้อาศัยและขยายพันธุ์ได้เองในธรรมชาติ
D : นกที่พบในธรรมชาติแต่อาจเป็นนกที่หลุดจากกรงเลี้ยง
E : นกที่มีรายงานพบในอดีต แต่อาจเป็นการจำแนกชนิดผิดพลาด
F : นกที่เป็นประชากรผสมข้ามสายพันธุ์ และยังไม่มีรายงานของประชากรที่มีลักษณะแท้ตามชนิดดั้งเดิม
สถานภาพตามฤดูกาลของนกแต่ละชนิด
R : นกประจำถิ่น
N : นกที่อพยพเข้ามาช่วงนอกฤดูผสมพันธุ์ (ฤดูหนาว)
B : นกที่อพยพเข้ามาทำรังวางไข่
P : นกอพยพผ่านช่วงฤดูใบไม้ผลิ และฤดูใบไม้ร่วง
V : นกพลัดหลง มีรายงานไม่เกิน 3 ครั้ง
ขอบคุณข้อมูลภาพถ่ายจาก https://ebird.org
ขอบคุณข้อมูลการกระจายพันธุ์และเสียงร้องจาก https://ebird.org