คู่มือนักศึกษา สกร.ระดับอำเภอดอกคำใต้
หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 พัฒนาขึ้นตามหลักการและปรัชญาการศึกษานอกโรงเรียนนโยบายของรัฐบาล แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปัญญา และมีศักยภาพในการประกอบอาชีพ การศึกษาต่อ และสามารถดำรงชิวิตอยู่ในครอบครัว ชุมชนสังคมได้อย่างมีความสุข
การจัดการศึกษานอกโรงเรียน ได้มีการพัฒนามาจากพื้นฐานทางด้านปรัชญาการศึกษาจิตวิทยา ความเชื่อ และการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ ทฤษฎีหลักสูตรและแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษานอกโรงเรียน ตลอดจนการพัฒนากระบวนการเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายผู้ที่พ้นเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
- ผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์ มีคุณลักษณะและเป้าหมายในการเรียนรู้ที่แตกต่างไปจากเด็ก เช่นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบอาชีพแล้วต้องการเรียนรู้เพื่อการพัฒนาและปรับปรุงอาชีพที่ทำอยู่ บางคนเป็นสู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ยังมีพื้นฐานการศึกษาก่อนข้างต่ำ ต้องการได้รับการศึกษาที่สูงขึ้นเพื่อการศึกษาต่อ หรือการพัฒนาคุณภาพชีวิต บางคนเป็นผู้นำชุมชน ต้องการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างและพัฒนาศักยภาพของตนเองในการปฏิบัติหน้าที่ บางคนเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น บางคนต้องการ ได้รับการยอมรับจากสังคมนอกจากนี้ผู้ใหญ่บางคนอาจมีปัญหาและข้อจำกัดในการเรียนรู้ เช่น ไม่มีเวลาเรียน ขาดความมั่นใจ เรียนรู้บางเรื่องได้ช้า ดังนั้นการจัดหลักสูตรและกระบวนการเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่จะต้องคำนึงถึงคุณลักษณะเหล่านี้
- การพัฒนาหลักสูตรและวิธีการจัดสาระและกระบวนการเรียนการสอนจะต้องสอดคล้องกับทฤษฎีหลักสูตรคามแนวทางการจัดการศึกษาผู้ใหญ่ ตลอดจนธรรมชาติ การเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวข้างต้นโดยใช้หลักการและศาสตร์การเรียนรู้ของผู้ใหญ่ รวมทั้งผู้สอนก็ต้องมีความรู้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้ใหญ่
- การกำหนดสาระและประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับผู้ใหญ่ ต้องคำนึงถึงหลักจิตวิทยาผู้ใหญ่ และปรัชญาการศึกษาผู้ใหญ่ที่มุ่งเน้นการส่งเสริม การวิเคราะห์สภาพสังคมและการแก้ปัญหาโดยใช้กระบวนการ “คิดเป็น” เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อนำไปสร้างองค์ความรู้และนำสู่การแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ
- ความต้องการในการเรียนรู้ของผู้ใหญ่เป็นการเรียนรู้เพื่อนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและการประกอบอาชีพได้ทันที ดังนั้นการจัดสาระและกิจกรรมการเรียนรู้ จึงมีความจำเป็นต้องจัดให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนดังกล่าวด้วย
หลักการ
หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กำหนดหลักการไว้ดังนี้
- เป็นหลักสูตรที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นค้านสาระการเรียนรู้เวลาเรียนและการจัดการเรียนรู้โดยเน้นการบูรณาการเนื้อหาให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ความแตกต่างของบุคคล ชุมชนและสังคม
- ส่งเสริมให้มีการเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
- ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตโดยตระหนักว่าผู้เรียนมีความสำคัญ สามารถพัฒนาตนเองได้ตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ
- ส่งเสริมให้ภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษา
หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม มีสติปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีศักยภาพในการประกอบอาชีพและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่ต้องการ จึงกำหนดจุดหมาย ดังต่อไปนี้
- มีคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุข
- มีความรู้พื้นฐานสำหรับการดำรงชีวิต และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
- มีความสามารถในการประกอบสัมมาอาชีพให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัดและตามทันความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง
4.มีทักษะการคำเนินชีวิตที่ดี และสามารถจัดการกับชีวิต ชุมชนสังคมได้อย่างมีความสุข ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
- มีความเข้าใจประวัติศาสตร์ชาติไทย ภูมิใจในความเป็นไทย โดยเฉพาะภายา ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี กีฬา ภูมิปัญญาไทย ความเป็นพลเมืองดี ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของศาสนา ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
- มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์ และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
7.เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ มีทักษะในการแสวงหาความรู้ สามารถเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ และบูรณาการความรู้มาใช้ในการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติ
กลุ่มเป้าหมาย
ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในระบบโรงเรียน ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ.2551 ระบุว่า ” เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริม และสนับสนุนการศึกษาให้บุคคลได้รับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอย่างทั่วถึง และมีคุณภาพตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ โดยให้บุคคลซึ่งได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไปแล้วหรือไม่ก็ตามมีสิทธิได้รับการศึกษาในรูปแบบการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยได้แล้วแต่กรณี ทั้งนี้ตามกระบวนการและการดำเนินการที่ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้”
โครงสร้างของหลักสูตร
เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปตามหลักการ จุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ให้สถานศึกษาและภาคีเครือข่ายมีแนวปฏิบัติในการจัดหลักสูตรสถานศึกษา จึงได้กำหนดโครงสร้างของหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2531 ไว้ดังนี้
ระดับการศึกษา
ระดับการศึกษา แบ่งออกเป็น 3 ระดับ ดังนี้คือ
– ประถมศึกษา
– มัธยมศึกษาตอนต้น
– มัธยมศึกษาตอนปลาย
-
สาระการเรียนรู้
สาระการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 สาระดังนี้
2.1. สาระทักษะการเรียนรู้ เป็นสาระเกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง การใช้แหล่งเรียนรู้ การจัดการความรู้ การคิดเป็น และการวิจัยอย่างง่าย
2.2. สาระความรู้พื้นฐาน เป็นสาระเกี่ยวกับภายาและการสื่อสาร คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
2.3. สาระการประกอบอาชีพ เป็นสาระเกี่ยวกับการมองเห็นช่องทางและการตัดสินใจประกอบอาชีพ ทักษะในอาชีพ การจัดการอาชีพอย่างมีคุณธรรม และการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคง
2.4. สาระทักษะการดำเนินชีวิต เป็นสาระเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง สุขศึกษา-พลศึกษา และศิลปศึกษา
2.5. สาระการพัฒนาสังคม เป็นสาระเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง, ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี หน้าที่พลเมือง และ การพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม
-
กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต ( กพช‘)
กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม โดยในทุกระดับการศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทำกิจกรรม จำนวนไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง เป็นเงื่อนไขในการจบหลักสูตร
ขอบข่ายเนื้อหาการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
3.1. กิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทักษะชีวิตตนเอง และครอบครัว โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมของผู้เรียน ในด้านต่างๆ เช่น ด้านสุขภาพกาย/จิต เช่นโครงการ
กศน.ไร้พุง , ด้านคุณธรรม จริยธรรม เช่น โครงการคุณธรรมนำชีวิต, ด้านเศรษฐกิจพอเพียง เช่น โครงการรู้รับ รู้จ่าย , ด้านยาเสพติด เช่นโครงการครอบครัวอบอุ่น, ค้านเพศศึกษาเช่นโครงการ พ่อ-แม่รู้ใจวัยรุ่น, ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เช่น โครงการเตรียมตัวเตรียมใจรับภัยธรรมชาติ
3.2. กิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการพัฒนาชุมชนและสังคม โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ในด้านต่างๆ เช่นด้านพัฒนาชุมชน/สังคม เช่นโครงการอาสาสมัครยุวกาชาดนอกโรงเรียน, ด้านอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ /สิ่งแวคล้อม เช่น โครงการลดโลกร้อน,ค้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี เช่นโครงการอนุรักษ์วัฒนธรรม,ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นและแหล่งเรียนรู้ เช่นโครงการคลังสมองร่วมพัฒนาชุมชน,ด้านการสนับสนุนส่งเสริมงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย เช่น โครงการอาสาสมัคร กศน. โครงการบรรณารักษ์อาสา
4 มาตรฐานการเรียนรู้
หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2531 กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ ตามสาระการเรียนรู้ทั้ง 5 สาระ ที่เป็นข้อกำหนดคุณภาพของผู้เรียน ดังนี้
4.1. มาตรฐานการเรียนรู้การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละสาระการเรียนรู้ เมื่อผู้เรียนเรียนจบหลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
4.2. มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ เป็นมาตรฐานการเรียนรู้ในแต่ละสาระการเรียนรู้เมื่อผู้เรียนเรียนจบในแต่ละระดับ ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับกรศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
-
เวลาเรียน
ในแต่ละระดับใช้เวลาเรียน 4 ภาคเรียน ยกเว้นกรณีที่มีการเทียบโอนผลการเรียน ทั้งนี้ผู้เรียนต้องลงทะเบียนเรียนในสถานศึกษาอย่างน้อย 1 ภาคเรียน
-
หน่วยกิต
ใช้เวลาเรียน 40 ชั่วโมง มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต
โครงสร้างหลักสูตร กศน.2551
โครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คงใช้โครงสร้างเดิม แต่จะปรับรายละเอียดภายใน ซึ่งไม่กระทบต่อมาตรฐานและสาระการเรียนรู้
ในหลักสูตร ดังนี้
- วิชาบังคับ
1) ปรับเนื้อหาบางรายวิชาให้มีความทันสมัยและทันต่อการเปลี่ยนแปลง
2) วิเคราะห์เนื้อหาที่ต้องรู้ในรายวิชาบังคับ และจัดทำสื่อเผยแพร่ให้สถานศึกษาและผู้เรียนนำไปใช้ในการเรียน
- วิชาเลือก วิชาเลือกจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ วิชาเลือกบังคับ และวิชาเลือกเสรี
1) วิชาเลือกบังคับ เป็นวิชาที่พัฒนาขึ้นตามนโยบายของประเทศ และเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตของประเทศในเรื่องต่างๆ ทั้ง 3 ระดับ คือ วิชาการใช้พลังงานไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน (พว…..) การเงินเพื่อชีวิต (สค….) วัสดุศาสตร์ (พว…..) เรียนรู้ภัยธรรมชาติ (ทช…..) ฯลฯ
2) วิชาเลือกเสรี เป็นวิชาที่สถานศึกษาพัฒนาขึ้นเอง โดยให้ยึดหลักการในการพัฒนา คือ
(1) พัฒนาโปรแกรมการเรียน เพื่อเป็นการกำหนดทิศทางและเป้าหมายทางการเรียนของผู้เรียน สถานศึกษาจึงต้องวิเคราะห์ความต้องการ ความจำเป็น และความสนใจของผู้เรียนเพื่อออกแบบโปรแกรมการเรียน ภายในโปรแกรมการเรียนจะประกอบด้วยรายวิชาต่างๆที่ผู้เรียนจะต้องเรียนจะต้องเรียนรู้
(2) การพัฒนารายวิชาในโปรแกรมการเรียน สถานศึกษาควรดำเนินการร่วมกับผู้เรียนและภูมิปัญญา ผู้รู้ หรือผู้ที่มีประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆจัดทำโปรแกรมการเรียนและพัฒนารายวิชาต่างๆ
โดยกำหนดสัดส่วน ดังนี้
หมายเหตุ วิชาเลือกในแต่ละระดับ สถานศึกษาจะต้องจัดให้ผู้เรียนเรียนรู้จากการทำโครงงานอย่างน้อย จำนวน 3 หน่วยกิต
การจัดหลักสูตร
หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2531 ที่สถานศึกษานำไปใช้จัดการเรียนรู้นั้น ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ ร สาระ คือ ทักษะการเรียนรู้ ความรู้พื้นฐาน การประกอบอาชีพ ทักษะการดำเนินชีวิต และการพัฒนาสังคม โดยโครงสร้างหลักสูตรกำหนดจำนวนหน่วยกิตในแต่ละระดับทั้งวิชาบังคับและวิชาเลือก ซึ่งผู้เรียนทุกคนต้องเรียนวิชาบังคับตามที่กำหนด เพื่อให้เป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ สำหรับวิชาเลือกให้ผู้เรียนเลือกเรียนได้ตามแผนการเรียนรู้เป็นรายบุคคลและหรือกลุ่ม โดยเลือกเรียนในสาระการเรียนรู้ในสาระการเรียนรู้หนึ่งหรือหลายสาระการเรียนรู้ก็ได้ ให้ครบจำนวนหน่วยกิต ตามโครงสร้างหลักสูตรในแต่ละระดับตามความต้องการของผู้เรียนที่จะประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ
รายละเอียดโครงสร้างหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
รายวิชาบังคับ
การลงทะเบียนเรียนในแต่ละภาคเรียน
* ระดับประถมศึกษา ภาคเรียนละไม่เกิน 14 หน่วยกิต
* ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ภาคเรียนละไม่เกิน 17 หน่วยกิต
* ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียนละไม่เกิน 23 หน่วยกิต
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระและมาดรฐานการเขียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ประกอบด้วยสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ดังนี้
- สาระทักษะการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 มาตรฐาน ดังนี้
มาตรฐานที่ 1.1 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง
มาตรฐานที่ 1.2 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการใช้แหล่งเรียนรู้
มาตรฐานที่ 1.3 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการจัดการความรู้
มาตรฐานที่ 1.4 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการคิดเป็น
มาตรฐานที่ 1.5 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการวิจัยอย่างง่าย
- สาระความรู้พื้นฐาน ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน ดังนี้
มาตรฐานที่ 2.1 มีความรู้ความข้าใจ และทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับภาษาและการสื่อสาร
มาตรฐานที่ 2.2 มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
หมายเหตุ สาระการเรียนรู้ความรู้พื้นฐาน มาตรฐานที่ 2.1 มีความรู้ความเข้าใจ ทักษะพื้นฐานเกี่ยวกับภาษา
และการสื่อสาร ซึ่งภามาในมาตรฐานนี้ หมายถึง ภายาไทย และภาษาต่างประเทศ
- สาระการประกอบอาชีพ ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน ดังนี้
มาตรฐานที่ 3.1 มีความรู้ความเข้าใจ และเจตคติที่ดีในงานอาชีพ มองเห็นช่องทางตัดสินใจ ประกอบอาชีพได้ตามความต้องการ และศักยภาพขอตนเอง
มาตรฐานที่ 3.2 มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะในอาชีพที่ตัดสินใจเลือก
มาตรฐานที่ 3.3 มีความรู้ความเข้าใจ ในการจัดการอาชีพอย่างมีคุณธรรม
มาตรฐานที่ 3.4 มีความรู้ความเข้าใจ ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคง
- สาระทักษะการดำเนินชีวิต ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน ดังนี้
มาตรฐานที่ 4.1 มีความรู้ความเข้าใจ เจตคติที่ดีเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและสามารถประยุกต์ใช้ในการคำเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม
มาตรฐานที่ 4.2 มีความรู้ความเข้าใจ และทักษะเกี่ยวกับการดูแล ส่งเสริมสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยในการคำเนินชีวิต
มาตรฐานที่ 4.3 มีความรู้ความเข้าใจ และเจตคติที่ดีเกี่ยวกับศิลปะและสุนทรียภาพ
- สาระการพัฒนาสังคม ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน ดังนี้
มาตรฐานที่ 5.1 มีความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง การปกครอง สามารถนำมาปรับใช้ ในการคำรงชีวิต
มาตรฐานที่ 5.2 มีความรู้ความเข้าใจ เห็นคุณค่า และสืบทอดศาสนา วัฒนธรรมประเพณี เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
มาตรฐานที่ 5.3 ปฏิบัติตนเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตย มีจิตสาธารณะ เพื่อความสงบสุขของสังคม
มาตรฐานที่ 5.4 มีความรู้ความเข้าใจ เห็นความสำคัญของหลักการพัฒนาและสามารถพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน/สังคม
วิธีการเรียน กศน.
วิธีการเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จะมีวิธีเดียว คือ ” วิธีเรียน กศน.” ที่สามารถจัดการเรียนรู้ได้หลายรูปแบบ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้
- ความพร้อม ความสนใจ และศักยภาพของผู้เรียน
- ความพร้อมในการบริหารจัดการของสถานศึกษา
- ความพร้อมและศักยภาพของครูผู้สอน
- ความยากง่ายของรายวิชา
วิธีเรียน กศน. หลักสูตรการศึกบานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่เหมาะสมกับผู้เรียน เช่น การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบทางไกล การเรียนรู้แบบชั้นเรียน และการเรียนรู้แบบอื่นๆ ซึ่งการเรียนรู้แต่ละรูปแบบ มีลักษณะดังนี้
- การเรียนรู้ด้วยตนเอง
เป็นวิธีที่ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนกำหนดแผนการเรียนรู้ของตนเองให้สอดคล้องกับรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียนโดยการค้นคว้าจากสื่อต่างๆ เช่นหนังสือที่เกี่ยวข้องกับรายวิชานั้นๆ แบบเรียนสื่ออิเล็คทรอนิคส์ จากภูมิปัญญา หรือผู้รู้ โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำในการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง
- ลักษณะของผู้ที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
- มีความสมัครใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองไม่ได้เกิดจากการบังคับ
2. ใช้ตนเองเป็นแหล่งข้อมูล นั้นคือผู้เรียนสามารถบอกได้ว่าสิ่งที่ตนจะเรียนรู้คืออะไรรู้ว่าทักษะและ
ข้อมูลที่ต้องการหรือจำเป็นต้องใช้อะไรบ้างสามารถกำหนดเป้าหมาย วิธีการรวบรวมข้อมูลที่ต้องการ
และวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ ผู้เรียนรู้ถึงความสามารถของตนเองตัดสินใจได้ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่และบทบาทในการเป็นผู้เรียนรู้ที่ดี - รู้วิธีการที่จะเรียนผู้เรียนควรทราบขั้นตอนในการเรียนรู้ด้วยตนเองว่าจะไปถึงจุดที่ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างไร
- มีบุคลิกภาพเชิงบวก มีแรงจูงใจ และการเรียนแบบร่วมมือกับเพื่อนหรือบุก
- 5. มีระบบการเรียน รู้ จักประยุกต์การเรียน และสนุกสนานกับกระบวนการเรียน
- มีการเรียนจากข้อผิดพลาดและความสำเร็จมีการประเมินคนเอง และเข้าใจศึก
- มีความพยายามหาในการหาวิธีการใหม่ๆเพื่อหาคำตอบ
- ข้อควรคำนึงในการเรียนรู้ด้วยคนเอง
- ผู้เรียนมีความสมัครใจ มีความพร้อม ศึกษาวิธีเรียนให้เข้าใจขั้นตอนการเรียนรู้ด้วยตนเอง
มีความรับผิดชอบ - ผู้เรียนกำหนดแผนการเรียนรู้รายบุคคลให้สอดคล้องกับรายวิชาที่ลงทะเบียนเรียน
- ผู้เรียนกำหนดสื่อที่จะเรียนรู้ด้วยคนเอง เช่น เอกสารแบบเรียน แหล่งเรียนรู้ รู้โทรทัศน์ ฯลฯ
- จัดทำสัญญาการเรียนรู้ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างครูและผู้เรียน
- 5. พบครู ขอคำปรึกบา ข้อแนะนำในการเรียน 2-4 ครั้ง/ภาคเรียน
- การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม
เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ผู้เรียนจะต้องมาพบกลุ่มตามเวลาที่นัดหมาย สัปดาห์ละ 3 ชั่วโมงโดยมีครูเป็นผู้
คำเนินการให้เกิดกระบวนการกลุ่ม และมีการนัดหมายการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ผู้เรียนต้องทำระหว่างสัปดาห์
มีการนำเสนอผลงานการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองหรืองานกลุ่มที่เป็นกิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย มีการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้และหาข้อสรูปร่วมกันเหมาะกับผู้ที่พอมีเวลามาพบกลุ่มในแต่ละสัปดาห์
- ข้อควรคำนึงในการเรียนรู้แบบพบกลุ่ม
- จัดพบกลุ่มในรายวิชาที่ยากปานกลาง
- เน้นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับครู
- ผู้เรียนศึกษาค้นคว้างานเคี่ยว งานกลุ่ม ทำโครงงาน
- ครูจัดกระบวนการกลุ่มที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
- การเรียนรู้แบบพบกลุ่ม ควรดำเนินการ
- การนำเสนอผลงานการค้นคว้าด้วยตนเองหรืองานกลุ่ม ซึ่งเป็นการทำกิจกรรมตามที่ได้รับมอบหมายจากการพบกลุ่มสัปดาห์ที่แล้ว ครูทำหน้าที่กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน
2. ครูจัดการเรียนการสอนตามสาระการเรียนรู้ ที่ได้วางแผนร่วมกันไว้แล้วระหว่างครูและผู้เรียน
และอาจสอนเพิ่มเติมในบางเนื้อหาที่ผู้เรียนต้องการ หรือจัดสอนเสริมนอกเหนือเวลากลุ่ม ในเนื้อหาวิชาที่ยาก เช่น คณิตศาสตร์ ภายาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ - มีการนำเสนอโครงงาน ความก้าวหน้าในการทำโครงงาน เพื่อให้ผู้เรียนคนอื่นและครู
ช่วยกันวิเคราะห์
- มีการสอบบ่อย (Quiz ) เพื่อเป็นการทดสอบความรู้ความเข้าใจสาระเนื้อหา
- 5. ฝึกกระบวนการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการ “คิดเป็น “กับผู้เรียน โดยครูทำหน้าที่เป็นผู้กระตุ้น เสริมแรง
- การฝึกให้ผู้เรียนได้แสดงออก เพื่อให้สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น
การฝึกพูดในโอกาสต่างๆ
- ครูวางแผนการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง และมีการติดตามช่วยเหลือผู้เรียน
- การเรียนรู้แบบทางไกล
เป็นวิธีการเรียนรู้ที่นักศึกษาไม่จำเป็นต้องมาพบครู แต่นักศึกษาและครูจะสื่อสารกันทางสื่ออิเล็คทรอนิคส์ นักศึกษาจะส่งงาน ส่งเอกสารการกันคว้า ส่งแบบฝึกหัด สื่อสารทาง E-mail, Chat room
กับครู โดยครูและนักศึกษาจะสื่อสารตามเวลาที่กำหนดนัดหมายกัน มุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้แบบ e -learning
- ข้อควรคำนึงในการเรียนรู้แบบทางไกล
- ผู้เรียนต้องมีเครื่องมือที่สามารถสื่อสาร และใช้อุปกรณ์ทางอิเล็คทรอนิคส์ได้ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ ฯลฯ
- มีเวลาสื่อสารทางสื่ออิเลคทรอนิคส์กับครูตามเวลาที่ได้ตกลงกันไว้
- การเรียนรู้แบบทางไกล ควรดำเนินการ ดังนี้
- ศึกษาแนวทางการเรียนรู้แบบทางไกลจากสื่อต่างๆ
- เรียนรู้จากสื่อทางไกลตามที่สถานศึกษากำหนด
- การประเมินความรู้ก่อนเรียนของตนเอง
- การศึกษาเนื้อหาสาระจากสื่อต่างๆ และส่งงานตามที่กำหนด
- 5. การสื่อสารกับครูตามวันเวลาที่กำหนด
- การประเมินความรู้หลังเรียนของตนเอง
- การเรียนรู้แบบชั้นเรียน
เป็นวิธีการเรียนรู้ที่สถานศึกษากำหนดรายวิชา เวลาเรียนและสถานที่ ที่ชัดเจนโดยกำหนดเป็นตารางสอนไนรายวิชานั้นๆ นักศึกษาต้องเข้าเรียนคามคารางสอนที่ครูกำหนคดโดยวิธีการจัดการเรียนรู้วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้เรียนที่มีเวลาเข้าชั้นเรียน
- ข้อควรคำนึงในการเรียนรู้แบบชั้นเรียน
- สถานศึกษากำหนดตารางเรียน สถานที่เรียนที่เหมาะสม
- มีการประชาสัมพันธ์ สถานที่ วัน เวลา ครูผู้สอน ให้ผู้เรียนทราบทั่วกัน
- สถานศึกมาจัดสื่อ อุปกรณ์การเรียนการสอน ที่มีคุณภาพและเหมาะสมให้กับผู้เรียน
- ผู้เรียนมีเวลาเข้าขั้นเรียนตามที่กำหนดในตารางเรียน
- การเรียนรู้แบบชั้นเรียน ควรดำเนินการ ดังนี้
- การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยมีครู หรือผู้เชี่ยวชาญในเนื้อหานั้นๆ เป็นผู้สอน
- การจัดกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้เรียน โดยกระตุ้นให้ผู้เรียนตอบพร้อมใช้กิจกรรมที่เน้นการสื่อสาร เช่น กิจกรรมคู่ กิจกรรมกลุ่ม
- ครูควรสอดแทรกกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียน ได้รับทราบข้อมูล/ข้อเท็จจริง กิจกรรมที่
ผู้เรียนไห้ลงมือปฏิบัติสังเกต และกิจกรรมที่สะท้อนการเรียนรู้ระหว่างครูและผู้เรียน
- การติดตามและช่วยเหลือผู้เรียน โดยอาจใช้กระบวนการติดคามช่วยเหลือผู้เรียนโดยเพื่อน
กลุ่มเพื่อน จัดให้มีการปรึกษาหารือกันระหว่างครูกับผู้เรียน
การเรียนรู้แบบต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น เป็นรูปแบบวิธีที่ผู้เวียนสามารถเลือกวิธีการเวียนรู้ในแต่ละรายวิชาได้ โดยเลือกตามความต้องการที่เหมาะสมกับเวลา เหมาะสมกับคนเอง และเหมาะสมกับรายวิชาที่เรียนซึ่งในแต่ละวิธีเรียนจะมีการวัดผลประเมินผลโดยใช้เครื่องมือในรูปแบบต่างๆ แดกต่างกันออกไปคามความเหมาะสมของรายวิชานั้นๆ
การจัดกระบวนการเรียนรู้
การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระคับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนมีความสามารถเรียนรู้ ตามปรัชญาพื้นฐานของการศึกษานอกโรงเรียน คิดเป็น โดยมีกระบวนการเรียนรู้ ดังนี้
- ครู กศน. เป็นผู้ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนเป็นรายกลุ่มใหญ่ กลุ่มย่อย
และรายบุคคล ในขณะเคียวกันครูและผู้เรียนต้องร่วมกันในการอภิปราย แลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์และสรุปผลการเรียนรู้ร่วมกันอันจะทำให้ได้องค์ความรู้ใหม่ๆ
กำหนดความต้องการ สภาพปัญหา โดยผู้เรียน ครู และผู้เกี่ยวข้องกำหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน ให้เชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมและคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
- ผู้เรียนใช้วิธีการเรียนรู้หลายวิธีผสมกันทั้งการเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้แบบทางไกล
การพบกลุ่ม การเข้าค่าย การสอนเสริม หรือ การเรียนโดยโครงงาน การเรียนรู้ที่หลากหลาบวิธีจะต้องมีแผนการเรียนรู้ โดยครูและผู้เรียนจัดทำสัญญาการเรียนรู้ร่วมกัน และครูจะเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนและกำกับให้การเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นไปตามแผนและบรรลุเป้าหมาย
3.นำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เหมาะสมกับวัฒนธรรมและสังคม
- ประเมิน และทบทวนการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้แล้วสรุปเป็นความรู้ใหม่ พร้อมกับ
เผยแพร่ผลงาน
สื่อการเรียนรู้
ในการจัดการเรียนรู้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง โดยการใช้สื่อหลากหลาย
ลักษณะของสื่อที่จะนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิคส์ สื่อบุคคล ภูมิปัญญา แหล่งการเรียนรู้ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น ชุมชน และแหล่งอื่นๆ ผู้เรียน ผู้สอน สามารถจัดทำ และพัฒนาสื่อการเรียนรู้ขึ้นเองหรือนำสื่อต่างๆที่มีอยู่รอบตัว และระบบสารสนเทศมาใช้ในการเรียนรู้ โดยใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้สื่อต่างๆ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีคุณค่า น่าสนใจ ชวนคิด ชวนติดตาม เข้าใจง่าย รวมทั้งกระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักวิธีการแสวงหาความรู้ เกิดการเรียนรู้อย่างกว้างขวาง สื่อวิชาเลือกแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ วิชาเลือกบังคับ และวิชาเลือกเสรี
- สื่อวิชาเลือกบังดับกลุ่มพัฒนาการศึกมานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจัดทำต้นฉบับ
- สื่อรายวิชาเลือกเสรี สถานศึกพาจัดทำหลักสูตรรายวิชาเลือกเสรี แล้วเสนอให้คณะกรรมการของ สำนักงาน กศน.จังหวัดพิจารณา ตรวจสอบสอดคล้องของรายวิชากับโปรแกรมการเรียน สอดคล้องกับมาตรฐานของกลุ่มสาระในแต่ละระคับการศึกนา จากนั้น สำนักงาน กศน. จึงขอรหัสราบวิชาเลือกจากระบบโปรแกรมรายวิชาเลือก หรือจัดซื้อหนังสือวิชาเลือกของสำนักพิมพ์หรือบริษัทเอกชน ที่ผ่านการตรวจรับรองคุณภาพจากสำนักงาน กศน.
การเทียบโอนผลการเรียน
สถานศึกษาต้องจัดให้มีการเทียบโอนผลการเรียนหรือเทียบโอนความรู้และประสบการณ์
ของผู้เรียน ให้เป็นส่วนหนึ่งของผลการเรียนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยสถานศึกษาต้องจัดทำระเบียบหรือแนวปฏิบัติการเทียบโอนให้สอดคล้องกับแนวทางการเทียบโอนที่สำนักงาน กศน. กำหนด
การเทียบโอนผลการเรียน คือ การนำผลการเรียนซึ่งเป็นความรู้ ทักษะและประสบการณ์
ของนักศึกษาที่เกิดจากการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยมาประเมินเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของผลการเรียนตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
การเทียบโอนผลการเรียนมีประโยชน์ต่อนักศึกษาอย่างไร
การเทียบโอนผลการเรียนเป็นการยอมรับและให้คุณค่าความรู้และประสบการณ์เดิมของนักศึกษา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาดังต่อไปนี้
- ไม่ต้องเรียนในหมวดวิชาที่ได้เรียนมีประสบการณ์มาแล้ว
2. ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการศึกษา
3. สามารถจบการศึกษาได้เร็วกว่าระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหลักสูตร
ประเภทของการเทียบโอนผลการเรียน
การเทียบโอนผลการเรียน ดามหลักสูตรการศึกพานอกระบบระคับการศึกพาชั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มีขอบข่ายดังนี้
- การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรที่ขัคการศึกษาเป็นระดับประถนศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายหรือเทียบเท่า ที่มีหลักฐานมาแสดง
หลักฐานผลการเรียน เป็นหลักฐานที่แสดงรายละเอียดว่านักศึกษาได้ผ่านการศึกษาในหลักสูตรสถานศึกษา หน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานที่รัฐให้การรับรองทุกประเภท เป็นผู้ชัดซึ่งมีรายละเอียดขอบข่ายเนื้อหา ระยะเวลาการเรียนและผลการเรียนแสคงไว้ เช่น ระเบียนแสคงผลการเรียน สมุดประจำตัว ประกาศนียบัตรและวุฒิบัตร เป็นต้น
- การเทียบโอนผลการเรียนจากการศึกยาต่อเนื่อง
เป็นการเทียบโอนผลการเรียนจากการเรียนในหลักสูตระยะสั้น หรือหลักสูตรฝึกอบรมที่จัดขึ้นตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายด่างๆ
- การเทียบโอนผลการเรียนจากความรู้และประสบการณ์กลุ่มเป้าหมายเฉพาะ
เป็นการเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ จากการเป็นทหารกองประจำการอาสาสมัครสาธารณสุข ผู้นำท้องถิ่น เป็นด้น
- การเทียบโอนผลการเรียนจากหลักสูตรต่างประเทศ
- 5. การเทียบโอนผลการเรียนจากการประเมินความรู้และประสบการณ์
เป็นการเทียบโอนผลการเรียน โดยใช้วิธีการประเมินความรู้และประสบการณ์ของผู้เรียน
ซึ่งมีการเรียนรู้จากการศึกษาตามอัธยาศัย การประกอบอาชีพ การทำงาน โดยอาจมีหลักฐานเชิงประจักษ์จากการทำงาน หลักฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหรือไม่มีหลักฐานก็ได้
หลักฐานที่ใช้ในการเทียบโอน
- ระเบียนแสดงผลการเรียนในระดับชั้น หรือภาคเรียนสุดท้ายที่เรียนมา
เช่น ป.4, ป.5. ม.1, ม.2, ม.4, ม.5, เกรด 7, 8, 10, 11 เป็นด้น
- หลักฐานการเป็นสมาชิกหรือประสบการณ์อาชีพกลุ่มเป้าหมายเฉพาะต่าง ๆ ได้แก่
2.1 หลักฐานการเป็นทหารกองประจำการ
2.2 หลักฐานการเป็นอาสาสมัครสาธารณสุข
2.3 หลักฐานการเป็นผู้นำท้องถิ่น หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น
2.4 หลักฐานการผ่านการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน
2.5 หลักฐานการผ่านกิจกรรมศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ(กพช.) หรือวิสาหกิจชุมชน(วสช.)
อายุของหลักฐานการศึกษา
– หลักฐานผลการเรียนจากการศึกมาจากหลักสูตรที่จัดเป็นระดับการศึกบาทั้งการศึกษา
ในระบบและการศึกษานอกระบบไม่กำหนดอายุของผลการเรียน
– รายวิชาใดที่ผู้เรียนผ่านเกณฑ์การประเมินตามที่หลักสูตรกำหนด สามารถเก็บผล
การเรียนสะสมได้ 5 ปี นับจากวันอนุมัติผลการเรียน หรือหลักฐานจากการศึกษาต่อเนื่องควรกำหนดอายุของผลการเรียนให้เหมาะสมกับพื้นฐานธรรมชาติวิชา ความทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน ตามที่คณะกรรมการเทียบโอนผลการเรียนของสถานศึกษา กำหนด
– หลักฐานอื่น 1 เช่น ถ่ายภาพ ถ้วยรางวัล ชิ้นงาน เป็นต้น
– การเทียบโอนผลการเรียนที่ไม่มีหลักฐานมาแสดงกรณีที่ไม่มีหลักฐานมาแสดงแต่นักศึกษามั่นใจว่าตนเองมีความรู้ ความสามารถขอประเมิน ซึ่งใช้วิธีการที่หลากหลาย ดังนี้
1) การสัมภาษณ์
2) การสังเกต
3) การทำแบบทดสอบ
4) การปฏิบัติจริง
การเทียบโอนจะทำอย่างไร
- ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการเทียบโอนผลการเรียนจากคู่มือนักศึกษาหรือปรึกษาครู
ศูนย์การเรียนชุมชน ว่าเทียบโอนได้หรือไม่
- ถ้าได้ให้นักศึกษาชื่นแบบแสดงความจำนงขอเทียบโอนผลการเรียน พร้อมขึ้นทะเบียน
เป็นนักศึกษาในเทอมแรก
การวัดและประเมินผล
การวัดและประเมินผล มี 2 ระดับ คือ
- การประเมินผลในระดับสถานศึกษา เป็นการดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียน
เป็นรายวิชา ประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต และประเมินคุณธรรม
- การประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ สถานศึกษาต้องขัดให้ผู้เรียน
ข้ารับการประเมินในภาคเรียนสุดท้ายก่อนสอบปลายภาคของภาคเรียนนั้นๆ โดยไม่มีผลต่อการได้
หรือตกของผู้เรียน
กรอบการวัดและประเมินผลการเรียน
การวัดและประเมินผลจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ
- วิชาบังคับ สำนักงาน กศน. กำหนดสัดส่วนการวัดผลระหว่างภาคเรียนและปลายภาค
เรียน เป็น 60 : 40 โดยวัตผลในเนื้อหาที่ต้องรู้ เฉพาะเนื้อหาที่ต้องรู้จะสอดคล้องกับการสอบ N-net ด้วย
- วิชาเลือกบังคับ กำหนดสัดส่วนการวัดผลระหว่างภาคและปลายภาค คือ 60 : 40
โดยกลุ่มพัฒนาระบบการทดสอบจะเป็นผู้รับผิดชอบคำเนินการ และจัดทำแบบทดสอบ ทั้งนี้
เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนและการวัดประเมินผลมีมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
- วิชาเลือกเสรี สถานศึกษาปรับปรุงระเบียบสถานศึกษาว่าด้วยการวัดและประเมินผล
การเรียน โดยเพิ่ม เกณฑ์การวัดและประเมินผล
ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
- การวัดและประเมินผลการเรียนเป็นรายวิชา เป็นการประเมินเพื่อทราบความก้าวหน้า
ทั้งค้านความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมจริยธรรม อันเป็นผลมาจาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละรายวิชา ด้วยวิธีที่หลากหลาย เช่นการสังเกต การสัมภาษณ์ การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน ประเมินการปฏิบัติตามมาตรฐานการเรียนรู้ ประเมินการปฏิบัติจริง ทดสอบย่อย ประเมินจากกิจกรรมโครงงาน หรือแบบฝึกหัด เป็นต้น การกำหนดคะแนนระหว่างภาคเรียนและปลายภาคเรียนให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่สำนักงาน กศน. กำหนด โดยการวัคผลระหว่างภาคเรียนสถานศึกษาเป็นผู้ดำเนินการ สำหรับการวัคผลปลายภาคเรียนให้เป็นไปตามที่สำนักงาน กศน.กำหนด
สถานศึกมาควรดำเนินการประเมินผลรายวิชาดังนี้
1.1 การวัดและประเมินผลก่อนเรียน เพื่อเป็นการตรวจสอบความรู้ ทักษะความพร้อมต่างๆของผู้เรียน เพื่อเป็นขัดมูลพื้นฐานในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับสภาพความพร้อม และความรู้พื้นฐานของผู้เรียน
1.2 การวัดและประเมินผลระหว่างภาคเรียน เพื่อทราบความก้าวหน้าทั้งค้านควานรู้ ทักษะ เจตติ และพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและผลงาน อันเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
1.3 การวัดและประเมินผลปลายภาคเรียน เพื่อทราบวัตถุประสงค์ผลการเรียนรู้โดยรวม
ของผู้เรียนที่ได้เรียนตามสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ของแต่ละรายวิชา โดยอาจใช้เครื่องมือที่หลากหลายตามลักษณะของรายวิชา เช่น แบบทดสอบปรนัย แบบทดสอบอัตนัยแบบประเมินการปฏิบัติ เป็นต้น
1.4 การตัดสินผลการเรียนรายวิชา ให้นำคะแนนระหว่างภาคเรียนมารวมกับคะแนนปลายภาคเรียน และจะต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 จึงจะถือว่าผ่านการเรียนในรายวิชานั้น แล้วนำคะแนนไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนดเพื่อให้ค่าระดับผลการเรียน
การให้ค่าระดับผลการเรียนให้กำหนดเป็น 8 ระดับ ดังนี้
ได้คะแนนร้อยละ 80 – 100 ให้ระดับ 4 หมายถึง ดีเยี่ยม
ได้คะแนนร้อยละ 75 – 79 ให้ระดับ 3.5 หมายถึง ดีมาก
ได้คะแนนร้อยละ 70 – 74 ให้ระดับ 3 หมายถึง ดี
ได้คะแนนร้อยละ 65 – 69 ให้ระดับ 2.5 หมายถึง ค่อนข้างดี
ได้คะแนนร้อยละ 60 – 64 ให้ระดับ 2 หมายถึง ปานกลาง
ได้คะแนนร้อยละ 55 – 59 ให้ระดับ 1.5 หมายถึง พอใช้
ได้คะแนนร้อยละ 50 – 54 ให้ระดับ เ หมายถึง ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด
ได้คะแนนร้อยละ 0 – 49 ให้ระดับ หมายถึง ต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด
- การประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.) เป็นเงื่อนไขหนึ่งในการจบหลักสูตร
ในแต่ละระดับการศึกษา ซึ่งผู้เรียนทุกคนต้องทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชนและสังคม จำนวนไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง
- การประเมินคุณธรรม เป็นเงื่อนไขหนึ่งที่ผู้เรียนทุกคนต้องได้รับการประเมินตามเกณฑ์ที่สถานศึกมากำหนด จึงจะได้รับการพิจารณาให้จบหลักสูตรในแต่ละระดับการศึกษา
คุณธรรมเบื้องต้นที่สำนักงาน กศน. กำหนด เพื่อใช้เป็นหลักในการประเมินมีจำนวน 11 คุณธรรม ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 คุณธรรมเพื่อการพัฒนาตน ประกอบด้วย
– สะอาด
– สุภาพ
– กตัญญูกตเวที
กลุ่มที่ 2 คุณธรรมเพื่อการพัฒนาการทำงาน ประกอบด้วย
– ขยัน
– ประหยัด
– ซื่อสัตย์
กลุ่มที่ 3 คุณธรรมเพื่อการพัฒนาการอยู่ร่วมกันในสังคม ประกอบด้วย
– สามัคคี
– มีน้ำใจ
– มีวินัย
กลุ่มที่ 4 คุณธรรมเพื่อการพัฒนาประเทศชาติ
– รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และรักความเป็นไทย
– ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
- การประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ (National Test) สถานศึกษาจะต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในภาคเรียนสุดท้ายของทุกระดับการศึกษาได้เข้ารับการประเมินคุณภาพ
การศึกษานอกระบบระดับชาติ ในสาระการเรียนรู้ตามที่สำนักงาน กศน. กำหนดการประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ ไม่มีผลต่อการได้หรือตกของผู้เรียน แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำข้อมูลที่ได้จาก
การประเมินไปใช้วางแผนปรับปรุงพัฒนาผู้เรียน และการพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของสถานศึกษา
********************
การจบหลักสูตร
ผู้จบการศึกษาคามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 ในแต่ละระดับการศึกษา ด้องผ่านเกณฑ์การจบหลักสูตร ดังนี้
- เกณฑ์การประเมิน และได้รับการตัดสินผลการเรียนตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนดทั้ง
5 สาระการเรียนรู้ และได้ตามจำนวนหน่วยกิตที่กำหนดตามโครงสร้างหลักสูตร - ผ่านเกณฑ์การประเมินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต(กพช.) ไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง
- ผ่านกระบวนการประเมินคุณธรรม ในระดับพอใช้ ขึ้นไป
- เข้ารับการประเมินคุณภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ (National Test)
หลักฐานการขอจบหลักสูตร
เมื่อนักศึกษาได้รับการอนุมัติผ่านระดับการศึกษาและจบหลักสูตรแต่ละระดับการศึกษา
จะต้องยื่นคำร้องขอจบการศึกษาพร้อมหลักฐาน ดังนี้
- เขียนใบคำร้องขอจบหลักสูตร
- รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 รูป สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ไม่สวมหมวก ไม่สวมแว่นตา
ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน ไม่เป็นรูปประเภทโพลารอยด์
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- วุฒิการศึกษาเดิม
- 5. สำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่นใบเปลี่ยนชื่อ – เปลี่ยนนามสกุล ใบทะเบียนสมรส(ถ้ามี)
การสมัครและลงทะเบียนเรียน
นักศึกมาที่ประสงค์จะสมัครเรียนเป็นนักศึกษาตามหลักสูตรการศึกมานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ต้องทราบรายละเอียดของการสมัครและการลงทะเบียนเรียนดังนี้
- ระยะเวลาในการรับสมัคร
ภาคเรียนที่ 1 ระหว่างวันที่ 1 – 30 เมษายน
ภาคเรียนที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 – 31 ตุลาคม
- การเปิด – ปิด ภาคเรียน
ภาคเรียนที่ 1 วันเปิดภาคเรียน 16 พฤษภาคม
วันปิดภาคเรียน 11 ตุลาคม
ภาคเรียนที่ 2 วันเปิดภาคเรียน 1 พฤศจิกายน
วันปิดภาคเรียน 1 เมษายน
- คุณสมบัติของผู้สมัครเรียน
1) เป็นผู้มีคุณสมบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยหลักฐานในการรับนักเรียน นักศึกษาเข้าเรียนในสถานศึกษา พ.ศ. 2548
2) เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในระบบโรงเรียน
3) มีพื้นความรู้ในแต่ละระดับดังนี้
ระดับประถมศึกษา
ไม่จำกัดพื้นความรู้ สำหรับพระภิกขุ สามเณรจะต้องสอบไถ่ได้นักธรรมชั้นตรีมาก่อน
ระดับมัธยมศึกษาตอนด้น
สอบได้วุฒิหรือระดับชั้นอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ มัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.3 เดิม)
หรือประถมศึกษาปีที่ 7 (ป.7) หรือประถมศึกษาปีที่ 6 (ป.6) หรือการศึกษาผู้ใหญ่ระดับที่ 3 หรือการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จระดับที่ 3 หรือหลักสูตรการศึกมานอกโรงเรียนระดับประถมศึกษา หรือระดับประถมศึกษา ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 หรือนาฏศิลป์ชั้นต้นปีที่ 3 หรือวุฒิอื่นที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้เทียบเท่า ประถมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 หรือนักธรรมชั้นเอก หรือธรรมศึกมาเอก หรือใบรับรองวุฒิการสอบเทียบความรู้ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อสิทธิ
บางอย่าง หรือใบรับรองวุฒิการสอบเทียบความรู้ชั้นประถมศึกมาปีที่ 7 เพื่อสิทธิบางอย่าง หรือเป็นผู้ที่เคยศึกมาหลักสูตรแต่งประเทศระดับชั้น (เกรด) การศึกมาปีที่ 7 หรือสอบไก่ไห้ระดับชั้น(เกรด) การศึกษาอย่างน้อยปีที่ 7 ผู้สอบตก ป.7 ปีการศึกมา 2520 ถือว่าได้ ป.6 สำหรับพระภิกษุ สามเณรจะต้องมีคุณวุฒิอย่างใดอย่างหนึ่งข้างต้นและต้องสอบได้ นักธรรมชั้นโท มาก่อน
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
สอบได้วุฒิหรือระดับชั้นอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ มัธยมปีที่ 6 (ม.6 เดิม) หรือประโยคศึกษาปีที่ 3 (ม.ศ.3) หรือมัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม.3) หรือการศึกษาผู้ใหญ่ระดับที่ 4 หรือการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จระดับที่ 4 หรือหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น หรือระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544 หรือเปรียญธรรม 3 ประโยค หรือวุฒิอื่นที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศให้เทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนต้น ตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2521 หรือใบรับรองวุฒิการสอบเทียบความรู้ขั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อสิทธิบางอย่าง หรือเป็นผู้ที่เคยศึกษาหลักสูตรต่างประเทศระดับชั้น(เกรด) การศึกษาปีที่ 10 หรือสอบไถ่ได้ระดับชั้น(เกรด) การศึกษาอย่างน้อยปีที่ 10 หรือ ผู้สอบตก ม.ศ. 3 ปีการศึกษา 2523 ถือว่าได้ ม.3
สำหรับพระภิกษุ สามเณรจะสมัครเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลายให้เป็นไปตามมติ
ของมหาเถรสมาคม
หลักฐานการสมัคร
สถานศึกษาจะต้องตรวจสอบหลักฐานการสมัครเข้าเป็นนักศึกษาให้ถูกต้องกรบถ้วนดังนี้
- ใบสมัคร
- รูปถ่าย 1 นิ้ว จำนวน 4 รูป (หน้าตรงไม่สวมแว่นตาดำ และไม่สวมหมวก สวมเสื้อ
สีขาวมีปก หรือชุดสุภาพ ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน โดยไม่ใช้รูปถ่ายประเกทโพลาลอยด์) เพื่อใช้ติดใบสมัคร 1 รูป ติดบัตรประจำตัว 1 รูป ติดสมุดประจำตัวนักศึกษา 1 รูป และสำหรับกิจกรรมที่จำเป็นอีก 1 รูป - สำเนาทะเบียนบ้านตนเองที่มีชื่อ บิดา มารคา พร้อมฉบับจริงไปแสดง
- สำเนาหนังสือแสดงวุฒิการศึกษา จำนวน 2 ฉบับ เช่น ประกาศนียบัตร ระเบียนแสดงผลการเรียน พร้อมฉบับจริงไปแสดง
- สำเนาเอกสารที่เกี่ยวข้อง พร้อมฉบับจริงไปแสดง เช่น ใบเปลี่ยนชื่อ ชื่อสกุลใบทะเบียนสมรส ใบหย่าฯลฯ
สถานที่ในการสมัครเรียน
นักศึกษาสามารถสมัครเรียนได้ตามสถานที่ดังต่อไปนี้
- 1. ศูนย์การเรียนชุมชนประจำตำบล (กศน.ตำบล…..)
- ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอ/เขศ.
- สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัด.
การย้ายสถานที่พบกลุ่ม และย้ายสถานศึกษา
- การย้ายสถานที่พบกลุ่ม
ให้ผู้เรียนยื่นคำร้องขอย้ายสถานที่พบกลุ่มต่อ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษา
ตามอัธยาศัยอำเภอ ที่ตนสมัครเป็นนักศึกษาอยู่
– เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงจะไปพบกลุ่ม ณ สถานที่พบกลุ่มใหม่ได้
- การย้ายสถานศึกษา
– ให้ผู้เรียนยื่นคำร้องขอย้ายสถานศึกษา พร้อมแนบหลักฐานดังนี้
1) รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว จำนวน 2 รูป ถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน สวมเสื้อเชิ้ตขาวไม่มีลวดลาย
และอักษรปักใด 1 หรือเครื่องแบบชุดสากล พร้อมเขียน ชื่อ – นามสกุล หลังรูป(ไม่ใช้รูปถ่ายแบบด่วนหรือรูป โพลาลอยด์)
2) ใบประกาศนียบัตร หรือใบรบ. ที่เป็นวุฒิก่อนเข้าเรียน ถ่ายสำเนา 1 ฉบับ พร้อมนำ
ฉบับจริงมาแสดงด้วย
3) สำเนาทะเบียนบ้านจำนวน 1 ฉบับ
4) บัตรประจำตัวนักศึกษา
5) ใบสำคัญเปลี่ยนชื่อและนามสกุล (ถ้ามี) ถ่ายสำเนา 1 ฉบับ พร้อมฉบับจริงมาด้วย
– ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอ……จะออกใบระเบียน
แสดงผลการเรียนให้นักศึกษา เพื่อนำไปแสดงต่อสถานศึกษาใหม่ที่จะไปเรียน
การปฏิบัติตนของนักศึกษา
ผู้เรียนในสถานศึกษา สังกัด กศน.เขต/อำเภอ…จะต้องปฏิบัติตนดังต่อไปนี้
- ต้องปฏิบัติดามระเบียบและข้อบังคับของสถานศึกมานั้นๆอย่างเคร่งครัด
- ต้องแต่งกายตามระเบียบข้อบังคับของสถานศึกษานั้นๆอย่างเคร่งครัด
- ต้องปฏิบัติตนเป็นพลเมืองที่ดี
- ต้องรักษาไว้ซึ่งความสามัคคีในหมู่คณะ
- 5. ต้องไม่ทำอันตรายหรือทำให้เสียหายชำรุด หรือบกพร่องซึ่งทรัพย์สินของสถานศึกษา
- ต้องไม่เล่นการพนัน และไม่นำพาอุปกรณ์การพนันมาในสถานศึกษา
- ต้องไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ และสิ่งเสพติดในห้องเรียนโดยเฉพาะในสถานที่พบกลุ่ม
- ต้องไม่ประพฤติตนขัดต่อศีลธรรมอันดี
- ไม่นำความเสื่อมเสียมาสู่สถานศึกษาที่ตนเองสังกัดอยู่
- ไม่ทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกายผู้อื่น
การพ้นสภาพการเป็นนักศึกษา
นักศึกษาจะพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาเมื่อ
- สำเร็จการศึกษา
- ลาออก
- ตาย
- ออกตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกมา
- 5. ไม่ลงทะเบียนเพื่อรักษาสถานภาพการเป็นนักศึกษาเป็นเวลา 6 ภาคเรียนติดต่อกัน
(กรณีที่นักศึกษาไม่สามารถลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนใด ภาคเรียนหนึ่งจะต้องลงทะเบียนรักษาสถานภาพการเป็นนักศึกษาทุกภาคเรียน)
กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต (กพช.)
กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือ กพช. หมายถึง กิจกรรมที่ส่งเสริม สนับสนุนให้นักศึกษาเป็นผู้รู้จักคิด รู้จักทำ เป็นผู้คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น โดยนักศึกษาสามารถเลือกทักษะ และทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตได้ตามความสนใจ หรือความถนัด เน้นการนำความรู้ประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษาเรียนรู้ไปสู่การปฏิบัติที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต เพื่อพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีการปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ในแต่ละระดับการศึกษาจะต้องปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตรวมแล้วไม่น้อยกว่า 200 ชั่วโมง โดยมีขอบข่ายเนื้อหาทั้งในภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติ
ทำไมต้องทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
การทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกทักษะด้านการคิด ให้เป็นผู้คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็นรวมถึงสามารถนำความรู้ ทักได้ไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการทำกิจกรรมต่างๆในชีวิตประจำวัน ให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาคนเอง และผู้อื่น สามารถถ่ายทอดสิ่งที่เป็นประโยชน์เหล่านี้ไปยังบุคคล หรือองค์กรอื่นๆ ได้ รวมถึงต้องการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้นักศึกษาเป็นผู้มีระเบียบวินัยมีความรับผิดชอบ รู้จักเสียสละ เอ็อเฟื้อ เผื่อแผ่ มีความซื่อสัตย์ สุจริค สามารถอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น
ในสังคมได้อย่างมีความสุข
วัตถุประสงค์ของการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
- เพื่อให้นักศึกษามีโอกาสใช้กระบวนการกลุ่ม
1.1 มีการวางแผนการทำงานร่วมกัน
1.2 เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ และประสบการณ์ร่วมกัน
1.3 ฝึกทักษะการคิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น
- เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของนักศึกษาในกิจกรรมค่างๆ
กิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตเป็นกิจกรรมที่ต้องระคมความคิด เน้นการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนแต่ละขั้นตอนนักศึกษาจะต้องลงมือปฏิบัติเองโดยมีเป้าหมายเพื่อก่อให้เกิดองค์ความรู้หรือนวดกรรมใหม่ๆ เกิดการพัฒนา เปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆไปในทิศทางที่ดีขึ้น นักศึกษาสามารถนำความรู้ ทักพะที่ได้ไปพัฒนาตนเอง รวมถึงสามารถถ่ายทอดความรู้นี้ให้กับบุคคลหรือหน่วยงานอื่นได้ด้วย
- เพื่อปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมให้กับนักศึกษา
3.1 รู้จักการทำงานเป็นทีม
3.2 มีน้ำใจ รู้จักเสียสละ เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่
3.3 มีระเบียบวินัย มีความอดทน และรับผิดชอบ
3.4 มีความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่นำผลงานของคนอื่นมาเป็นของตนเอง
เกณฑ์พิจารณาในการจัดกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิต
เกณฑ์พิจารณาในการจัดทำกิจกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตของนักศึกบา รวมถึงการกำหนดจำนวนชั่วโมง กพช. ในแต่ละกิจกรรม มีเกณฑ์ในการพิจารณาดังต่อไปนี้
- ประโยชน์ที่ตนเอง และครอบครัวได้รับ ให้พิจารณาว่าเป็นกิจกรรมที่ตนเองและครอบครัวได้รับประโยชน์จาการทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตหรือไม่ มากน้อยเพียงใด
- ประโยชน์ที่ชุมชน/สังคมได้รับ ให้พิจารณาว่าเป็นกิจกรรมที่ชุมชน สังคมได้รับประโยชน์ หรือได้รับบริการที่ช่วยเสริมสร้างมาตรฐาน หรือพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านเศรษฐกิจสังคม การเมือง
การปกครอง และอื่นๆ หรือไม่ รวมทั้งตอบสนองนโยบายการพัฒนาประเทศอย่างไร - การมีส่วนร่วมขององค์กร/ชุมชน ให้พิจารณาว่าเป็นกิจกรรมที่จัดแล้วชุมชน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญ เละให้ความร่วมมือทั้งทางด้านความคิด แรงงาน วัสดุ/อุปกรณ์ และอื่นๆ หรือไม่ อย่างไร และมากน้อยเพียงใจ
- ความยากง่ายในการดำเนินงาน ให้พิจารณาที่ขนาดของกิจกรรม เงื่อนไข และขั้นตอน/
วิธีการในการดำเนินงานว่ามีความซับซ้อน ยากง่ายมากน้อยเพียงใด
- 5. ความร่วมมือของสมาชิก ให้พิจารณาว่าเป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจในการทำงาน หรือมีส่วนร่วมในการช่วยคิด ช่วยทำมากน้อยเพียงใด การแบ่งงานมีความเหมาะสม เป็นธรรมหรือ ไม่ และสมาชิกแต่ละคนมีความรับผิดชอบมากน้อยเพียงใด การทำงานร่วมกันมีความเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ และจากทำกิจกรรม ส่งผลทำให้เกิดความสามัคคี รักใคร่ปรองดอง และเอื้ออาทรกันในหมู่คณะมากน้อยเพียงใด
- ความเหมาะสมในการใช้เวลาปฏิบัติงาน ให้พิจารณาถึงระยะเวลาในการจัดกิจกรรม
ว่ามีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด อย่างไร
- มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ คิดเป็น แก้ปัญหาเป็น ให้พิจารณาว่าเป็นกิจกรรมที่มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ เมื่อลงมือปฏิบัติแล้วจะทำให้เกิดการพัฒนาต่อตนเอง ครอบครัว ชุมชน และสิ่งแวดล้อมได้จริงอย่างต่อเนื่องหรือไม่ มากน้อยเพียงใด อย่างไร
- มีกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบ ให้พิจารณาว่าเป็นกิจกรรมที่ทำให้สมาการวางแผ่นการทำงานอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอน มีการแบ่งงานให้สมาชิกได้รับอย่างทั่วถึง และเหมาะสมหรือไม่ อย่างไร
- 9. การส่งเสริมค้านคุณธรรม จริยธรรม และการสืบสาน อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณี ให้พิจารณาว่าเป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรมของตนเอง ครอบครัว ชุมชนและสังคมหรือไม่ อย่างไร รวมถึงได้สืบสาน อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงามของไทยได้มากน้อยเพียงใด
- ผลสำเร็จของกิจกรรม ให้พิจารณาว่าเป็นกิจกรรมที่สมาชิกในกลุ่มร่วมกันปฏิบัติบรรลุ
ตามวัตถุประสงค์ของโครงการที่กำหนดไว้หรือไม่ มากน้อยเพียงใด และมีผลลัพธ์เป็นอย่างไร
ข้อควรปฏิบัติในการจัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
- ควรเป็นกิจกรรมที่เกิดจากความต้องการของนักศึกษาเอง
- ควรเป็นกิจกรรมที่เกิดประ โยชน์ต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรม
- ควรเป็นกิจกรรมที่ปลอดภัย ปราศจากความเสี่ยงใดๆทั้งสิ้น
- ควรเป็นกิจกรรมที่เน้นการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วน เช่น กับเครือข่าย บุคคลหรือหน่วยงานต่างๆ เป็นต้น
- 5. ขนาดของกิจกรรมควรมีความเหมาะสม และสอดคล้องกับจำนวนผู้เข้าร่วม และควรเป็นกิจกรรมภายในพื้นที่จังหวัดหรือบริเวณใกล้เคียง
- ระยะเวลา/ช่วงเวลาในการจัดกิจกรรมควรมีความเหมาะสม โดยพิจารณาตามขนาด
และความยากง่ายของกิจกรรม - ไม่ควรเป็นกิจกรรมที่เอื้อประโยชน์ต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใดกลุ่มบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ โดยไม่มีเหตุและผลอันควร
ขั้นตอนการทำกิจกรรมพัฒนาคูณภาพชีวิต ( กพช.)
- ผู้เรียนที่ยื่นคำร้องแสดงความจำนงขอทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิต
- แนบโครงการที่เขียนแล้ว พร้อมแบบคำร้อง แสดงความจำนง ขอทำกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตเพื่อขออนุมัติโครงการต่อสถานศึกษา โครงการประกอบด้วยรายละเอียดดังต่อไปนี้
2.1 ชื่อโครงการ
2.2 หลักการและเหตุผล
– บอกเหตุผลและความจำเป็นหรือความสำคัญของโครงการ
2.3 วัตถุประสงค์
– ระบุว่าโครงการนี้ทำเพื่ออะไร เกิดประโยชน์อย่างไร
2.4 ขั้นตอนการคำเนินงาน
– บอกวิธีการทำงานว่าขั้นตอนอย่างไร ตั้งแต่เริ่มทำโครงการจนสิ้นสุดโครงการ
2.5 สถานที่ดำเนินงาน
– ระบุสถานที่ที่จะดำเนินการ
2.6 ระยะเวลา
– ระบุว่า โครงการที่จะปฏิบัตินั้นเริ่มและสิ้นสุดวันใด
2.7 งบประมาณ
– ตั้งงบประมาณหรือองค์ประกอบที่จะทำให้โครงการบรรลุผลสำเร็จตาม
วัตถุประสงค์และเป้าหมายเช่นวัสดุ แรงงาน
2.8 ผู้รับผิดชอบโครงการ
– ระบุผู้รับผิดชอบโครงการว่ามีใครบ้าง กี่คน
2.9 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
– ระบุว่าจากการทำโครงการนั้น คาดว่าจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง
3.เมื่อสถานศึกษาอนุมัติโครงการแล้ว ให้ผู้เรียนนำโครงการดังกล่าวมาดำเนินงานโดยอยู่ในการกำกับคูแลของครู และคณะกรรมการ
- เมื่อดำเนินงานเสร็จสิ้นแล้ว ก็ให้จัดทำรายงานการคำเนินงานต่อสถานศึกษา เพื่อให้คณะกรรมการพิจารณาและประเมินผลการปฏิบัติงาน
แฟ้มสะสมงานนักศึกษา(Student Portfolio
หมายถึง แฟ้มที่เก็บหลักฐานผลงานของนักศึกษา ที่ทำการสะสมงานอย่างเป็นระบบมีจุดมุ่งหมาย แสคงถึงความสามารถ พัฒนาการ ความก้าวหน้าและผลสัมฤทธิ์ ในส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนของการเรียนรู้ในวิชาเรียน ยังเป็นหลักฐานที่สะท้อนการประเมินคนเองของนักศึกษาด้วย
ความสำคัญของแฟ้มสระสมงานนักศึกษา
1.เป็นเครื่องมือประเมิน สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามหลักสูตรได้
หลากหลายวิชา
- ส่งเสริมความสนใจในการเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติในแต่ละรายวิชา ตลอดจนทำให้เกิดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
- ประเมินความรู้ ความสามารถของผู้เรียนที่สะสมมาคลอดภาคเรียนหรือตลอดปีการศึกษา
- เป็นเครื่องมือที่บอกความสามารถที่แท้จริง และกระตุ้นชักนำให้ผู้เรียนประเมินผลการทำงานตลอดจนค้นพบความก้าวหน้าของตนเอง
- 5. ประเมินผลที่เน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ผ่านการสร้างผลงาน และช่วยเหลือในสิ่งที่ผู้เรียน
ขาดหรือบกพร่อง
- ประเมินผลที่เน้นความก้าวหน้าของผู้เรียนแต่ละคนมากกว่าการนำไปเปรียบเทียบกับ
ความสามารถของผู้อื่น
- ประเมินผลเพื่อนำไปใช้ประกอบการให้ระดับคะแนน ในรายวิชาต่างๆ และประเมินคุณธรรมด้านต่างๆของนักศึกษา
องค์ประกอบการจัดทำแฟ้มสะสมงานนักศึกษา
ส่วนที่ 1 ส่วนนำ ประกอบด้วย
+ ปก(ปกนอก,ปกใน สามารถตกแต่งให้สวยงามได้)
+ คำนำ(เขียนบรรยายที่มีและความสำคัญของการทำแฟ้มสะสมงานของตนเอง)
+ สารบัญ(ลำคับหัวข้อแต่ละหน้าของแฟ้ม)
ส่วนที่ 2 ข้อมูลส่วนตัว ประกอบด้วย
+ ประวัติส่วนตัว(ตกแต่งให้สวยงามได้ตามความเหมาะสม)
+ ชื่อ-สกุล
+ วันเดือนปี เกิด
+ ที่อยู่ปัจจุบัน
+ ชั้นเรียนประจำปีการศึกษาปัจจุบัน
+ ชื่อสถานที่พบกลุ่ม
+ คติพจน์ในการเรียน
+ ความสามารถพิเศษ
+ งานอดิเรกต่างๆ
ส่วนที่ 3 ผลงานที่ภาคภูมิใจ ประกอบด้วย
+ การเข้าร่วมกิจกรรมในโรงเรียนกิจกรรมที่ โรงเรียนจัดขึ้น เช่น งานวันวิทยาศาสตร์
งานวันภามาไทย งานโรงเรียน งานกิจกรรมต่างที่นักศึกษา ได้มีส่วนร่วม และเกิดความภูมิใจอาจจะเก็บเป็นภาพถ่ายมีการบรรยายพอประมาณ หรือเก็บหลักฐานที่บ่งบอกให้ทราบถึงการมีส่วนร่วมของคนเองในกิจกรรมนั้นเช่น เกียรติบัตร ผลการแข่งขัน เป็นต้น)
+ การเข้าร่วมกิจกรรมในชุมชน(อาจจะเป็นกิจกรรมที่เรามีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมด้วย
เช่น เข้าค่ายวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนอื่น หรือหน่วยงานอื่นที่เขาจัดขึ้น การเข้าร่วมการแข่งขันในกิจกรรมต่างๆ การแข่งขันกีฬาต่างๆ เป็นต้น)
+ การแสดงกิจกรรมต่างๆตามศักยภาพ ความถนัด และความสนใจ(เช่น การเข้าร่วมแสดงละครเวที การแสดงลีลาศ ร้องเพลง ประกวดหนูน้อย หรือมีกิจกรรมการแสดงตามงานต่างๆของหน่วยงานต่างๆ ที่จัดขึ้น)
+ การร่วมพิธีกรรมทางศาสนา(ในส่วนนี้จะทำให้เราดูดี มีมารยาทดีในศาสนาที่ตนเองนับถือ อีกทั้งบังคูเป็นคนที่มีศีลธรรมประจำใจ ดังนั้นในส่วนนี้จะส่งเสริมให้ตัวเรานั้นมีความดีอยู่ในตนเอง
ไม่เป็นคนกระด้างกระเดื่อง การแสดงหลักฐานในส่วนนี้อาจจะเป็นภาพถ่ายจากการเข้าร่วม กิจกรรมต่างๆ
ที่ตนเองเข้าไปมีส่วนร่วม ไม่จำเป็นต้องเป็นกิจกรรมที่โรงเรียนจัดให้ก็ได้)
+ ผลงานที่ได้รับรางวัล การสอบแข่งขัน การแข่งขันกีฬาประเภทต่างๆ การตอบปัญหาและการประกวดของหน่วยงานต่างๆ (ส่วนนี้จะเป็นการบอกความสามารถของเราว่าเป็นผู้ที่มีคุณภาพมากน้อยเพียงใด
ข้อคิดในการทำแฟ้มสะสมผลงานของนักศึกษา
ในการคัดเลือกชิ้นงานหรือผลงานมาลงหรือใส่ในแฟ้มไม่จำเป็นต้องเอามาทุกชิ้น แต่ให้
พิจารณาคัดเลือกงานที่เราคิดว่าดีที่สุดในแต่ละด้าน ด้านละ 1-2 ชิ้นก็ได้ ถ้ามีผลงานหลายด้านมันก็จะเป็นการบอกว่าเรามีความสามารถหลายด้าน
********************************
การปฏิบัติตนในการเข้าสอบ
ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ
ว่าด้วยการปฏิบัติของผู้เข้าสอบ พ.ศ.2548
โดยที่เห็นสมควรปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการปฏิบัติ ของผู้เข้าห้องสอบให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการจึงวางระเบียบไว้ดังนี้
ข้อ 1 ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการปฏิบัติ ของผู้เข้าสอบ
พ.ศ. 2548”
ข้อ 2 ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศเป็นต้นไป
ข้อ 3 ให้ยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการปฏิบัติของผู้เข้าสอบ พ.ศ. 2506
ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับแก่ผู้มีหน้าที่กำกับการสอบสำหรับการสอบทุกประเภทในส่วนราชการ และสถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และให้หมายความรวมถึงผู้เข้าสอบในสถานศึกษาที่อยู่ในกำกับดูแล หรือสถานศึกมาที่อยู่ในความควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการด้วย ยกเว้นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและสถาบันอุคมศึกษาเอกชน
ข้อ 4 ผู้เข้าสอบต้องปฏิบัติดังนี้
4.1 การแต่งกาย ถ้าเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาต้องแต่งเครื่องแบบนักเรียนหรือนักศึกษาแล้วแต่กรณี ถ้าเป็นผู้สมัครสอบต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยตามประเพณีนิยม
4.2 ผู้เข้าสอบจะต้องถือเป็นหน้าที่ที่ต้องตรวจสอบให้ทราบว่าสถานที่สอบอยู่ ณ ที่ใด ห้องใด
4.3 ไปถึงสถานที่สอบก่อนเวลาเริ่มสอบตามสมควร ผู้ใดไปไม่ทันเวลาลงมือสอบวิชาใด ไม่มีสิทธิ์เข้าสอบวิชานั้น แต่สำหรับการสอบวิชาแรกในตอนเช้าของแต่ละวัน ผู้ใดเข้าห้องสอบหลังจากเวลาลงมือสอบแล้ว 15 นาที จะไม่ได้รับอนุญาตให้สอบวิชานั้น เว้นแต่มีเหตุความจำเป็นให้อยู่ในดุลพินิจของประธานคำเนินการสอบพิจารณาอนุญาต
4.4 ไม่เข้าห้องสอบก่อนได้รับอนุญาต
4.5 ไม่นำเอกสาร เครื่องอิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องสื่อสารไค ๆ เข้าไปในห้องสอบ
4.6 นั่งตามที่กำหนดให้ จะเปลี่ยนที่นั่งก่อนได้รับอนุญาตไม่ได้
4.7 ปฏิบัติตามระเบียบที่เกี่ยวกับการสอบและคำสั่งของผู้กำกับการสอบโดยไม่ทูจริตในการสอบ
4.8 มิให้ผู้เข้าสอบอื่นคัดลอกคำตอบของตน รวมทั้งไม่พูดคุยกับผู้ใดในเวลาสอบ เมื่อมีข้อสงสัยหรือมีเหตุความจำเป็นให้แจ้งแต่ผู้กำกับการสอบ
4.9 ประพฤติตนเป็นสุภาพชน
4.10 ผู้ใครสอบเสร็จก่อน ผู้นั้นต้องออกไปห่างจากห้องสอบ และไม่กระทำการใด ๆอันเป็นการรบกวนแก่ผู้ที่ยังสอบอยู่ แต่ทั้งนี้ผู้เข้าสอบทุกคนจะออกจากห้องสอบก่อนเวลา 20 นาที หลังจากเริ่มสอบสอบวิชานั้นไม่ได้
4.11 ไม่นำกระดาษสำหรับเขียนคำตอบที่ผู้กำกับการสอบแจกให้ออกไปจากห้องสอบ
ข้อ 5 ผู้เข้าสอบกระทำการฝ่าฝืนระเบียบข้อ 4 หรือพยายามกระทำการทุจริตในการสอบ
วิชาใดให้ผู้กำกับการสอบว่ากล่าวตักเตือน
ถ้าการกระทำดังกล่าวในวรรคแรกเข้าข่ายร้ายแรง เมื่อได้สอบสวนแล้วประธานกรรมการหรือผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการสอบ สั่งไม่ตรวจคำตอบ และถือว่าผู้นั้นสอบไม่ผ่านวิชานั้นในการสอบคราวนั้น
ข้อ 6 ผู้เข้าสอบผู้ใดกระทำการทุจริตในการสอบวิชาใด เมื่อได้สอบสวนแล้ว เมื่อได้สอบสวนแล้วประธานกรรมการหรือผู้มีอำนาจหน้าที่ในการจัดการสอบ สั่งไม่ตรวจคำตอบ และถือว่าผู้นั้นสอบไม่ผ่านวิชานั้นในการสอบคราวนั้น
ข้อ 7 ในกรณีทุจริตในการสอบด้วยวิธีคัดลอกคำตอบระหว่างผู้เข้าสอบด้วยกันให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้เข้าสอบนั้น ได้สมคบกันกระทำการทุจริต
—————————-
การเตรียมตัวเพื่อเข้าสอบ
สิ่งที่นักศึกษาต้องเตรียม…เมื่อเข้าสอบ
- บัตรประจำตัวนักศึกษา
- บัตรประจำตัวประชาชน
- ดินสอ 2 B
- ยางลบดินสอ
- ปากกา
- ไปถึงสนามสอบก่อนเวลาสอบประมาณ 30 นาที
- ตรวจสอบวิชาที่เข้าสอบ เวลาที่สอบให้ชัดเจน
การปฏิบัติตนเมื่อสอบเสร็จแล้ว
เมื่อนักศึกษาสอบปลายภาคเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
- ติดตามผลการสอบปลายภาคกับครูผู้สอน ตามกำหนดที่ครูนัดหมายทุกครั้ง
- เมื่อรู้ผลการสอบปลายภาคแล้ว กรณีสอบผ่านทุกรายวิชา
– นักศึกษาต้องลงทะเบียนเรียนในภาคเรียนต่อไปกับครูผู้สอนให้เรียบร้อยภายใน
ระยะเวลาที่ครูกำหนด หรือนัดหมาย - กรณีที่นักศึกษาสอบไม่ผ่าน ในรายวิชาที่สอบปลายภาค
– นักศึกมาต้องติดตามเพื่อลงทะเบียนสอบซ่อม/ ประเมินซ่อมในรายวิชาที่นักศึกษา
สอบไม่ผ่าน เพื่อให้ทันตามระยะเวลาที่สถานศึกษากำหนด
– ติดตาม วัน /เวลา / สถานที่ ที่สถานศึกษากำหนดสอบซ่อม / ประเมินซ่อม
- ติดตาม วัน / เวลา เปิดเรียนในภาคเรียนต่อไปกับครูผู้สอน เพื่อความพร้อมในการพบกลุ่มในภาคเรียนถัดไปการเตรียมตัวเพื่อเข้าสอบ
—————————-